อัตลักษณ์ถิ่นอีสาน ในนวนิยายลูกอีสาน
รณชัย นาทองบ่อ
บทคัดย่อ
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิจารณ์นวนิยายลูกอีสาน รางวัลซีไรต์
พุทธศักราช 2522 ของนักเขียนสายเลือดอีสานขนานแท้
คำพูน บุญทวี ซึ่งผู้วิจารณ์ได้นำเสนออัตลักษณ์ถิ่นที่โดดเด่นของคนอีสานซึ่งปรากฏอยู่ในลูกอีสาน
เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ที่มีคุณค่าของคนอีสานอันเป็นการถ่ายทอดวิถีชีวิตและความเชื่อต่างๆที่ถือว่าเป็นอัตลักษณ์ถิ่นอีสานขนานแท้ที่ไม่มีใครเหมือน
ผ่านน้ำหมึกและปลายปากกาถ่ายทอดออกมาในประเด็นต่างๆ คือ 1. สังคมและวัฒนธรรม 2. ความเชื่อที่ฝั่งลึกในจิตวิญญาณ
3. ผญาอีสานสานรักหนุ่มสาว 4. อาหารการกินถิ่นอีสานบ้านเฮา 5. เครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมพื้นบ้านถิ่นอีสาน
6. คนอีสานอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
ผลการศึกษาในอัตลักษณ์ถิ่นในอีสาน ในด้านสังคมและวัฒนธรรมพบว่าคนอีสานมีสังคมที่แน่นแฟ้น
ช่วยเหลือกันทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ ตลอดจนมีประเพณีที่ดีงามนั่นก็คือ
ประเพณีสงกรานต์ ด้านความเชื่อที่ฝังลึกในจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน
เพราะคนอีสานมีความเชื่อเรื่องผีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผีที่มีเฉพาะถิ่นอีสานนั่นก็คือผีปอบ
ด้านผญาอีสานสานรักหนุ่มสาว ก็มีความโดดเด่นเป็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจนเป็นสื่อกลางสานสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวชาวอีสาน
ซึ่งมักจะพูดผญาเกี้ยวกัน จีบกัน ด้านอาหารการกินถิ่นอีสานบ้านเฮานั้นก็โดดเด่นมาก
ซึ่งแสดงว่านี่แหละอีสานขนานแท้ก็มี ข้าวเหนียว ลาบปลาร้า หม่ำไข่ปลา
โดยเฉพาะคนอีสานกับปลาร้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้
ในลูกอีสานแทบทุกตอนในการกินอาหารทุกมื้อต้องมีปลาร้าเป็นอาหารหลักเสมอ
ด้านเครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมพื้นบ้านถิ่นอีสานนั้นก็เด่นมากในเรื่องการทำเครื่องมือดักนกขุ้มที่ได้วัสดุอุปกรณ์จากธรรมชาติ
การทำหน้าไม้ และการตีเสียม การทำเหล็กป๊ก ประเด็นสุดท้ายก็คือ คนอีสานอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนมาก
เพราะความแห้งแล้งอดยากคนอีสานก็อยู่ได้เพราะกินทุกอย่างที่สามารถกินได้ไม่ว่าจะเป็น
งู บึ้ง ตุ๊กแก ก็ปรุงเป็นเมนูเลิศรสได้
สังคมและวัฒนธรรม
อีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่ประมาณ
168,854 ตารางกิโลเมตร เท่ากับร้อยละ 32.91 หรือประมาณ 1 ใน 3 ของเนื้อที่ประเทศไทย
ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่
มีทิวเขากั้นเป็นขอบอยู่ทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้
แล้วตะแคงลาดไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำโขง
มักเรียกชื่อภูมิประเทศของภาคนี้อย่างรวมๆว่าที่ราบสูงโคราช (สุจิตต์
วงษ์เทศ, 2543: 3)
จากที่กล่าวมาเบื้องต้นจะเห็นว่าอีสานมีพื้นที่ขนาดใหญ่
และมีอาณาเขตกว้างขวาง
ดังนั้นสังคมและวัฒนธรรมของชาวอีสานก็มีคุณค่ามากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเนื้อที่ที่ปรากฏทางภูมิประเทศ
ชาวอีสานมีลักษณะทางสังคมที่เป็นอัตลักษณ์ถิ่นก็คือมีลักษณะที่พึ่งพาอาศัยกัน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันดังที่ปรากฏในตอนที่ว่า
แล้ววันสนุกของคูนก็มาถึง
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ เมื่อมีเสียงทิดจุ่นกับเอื้อยคำกอง มาเรียกแม่ให้เปิด
ประตู
คูนก็ลุกผลุงขึ้นจากที่นอน “ลุกขึ้นบักคูน
ช่วยกันขนของกองไว้แห่งเดียวกัน
แล้วเอาสาดปกไว้ ให้มิด อย่าให้ขี้ฝุ่นหล่นลงใส่” ทิดจุ่นว่าดังๆไม่นานนักข้าวของต่างๆกับเสื้อนอนหมอนหนุนก็ถูกขนมากองไว้รวมกัน
เสร็จแล้วคูนก็ช่วยแม่และเอื้อยคำกองขนของที่จะทำกินลงไปวางใกล้ๆเล้าข้าวอย่างว่องไว
พ่อกับทิดจุ่นพากันขึ้นไปรื้อตับหญ้าคาโยนลงมาอยู่โครมครามส่วนแม่กับเอื้อยคำกองพากันตำข้าวสารทำแป้งขนมอยู่ฉึกๆโดยเอื้อยคำกองเป็นคนเหยียบที่หางครกกระเดื่อง
ส่วนแม่ยืนโก้งโค้งอยู่ที่ปากครก คูนเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นแม่ จับก้อนแป้งพลิกไปมาให้สากตำที่ทิ้งลงเสียงฉัวะๆ
สักครู่ทิดฮาดขี้เมาก็เดินนำหน้าลุงเข้มกับลุงเมฆตรงมา
ถามคูนว่ามีอะไรจะให้กินในวันนี้ คูนก็บอกแม่ว่าจะลาบปลาแดกกับแกงปลากระป๋องให้กิน
(คำพูน บุญทวี,
2556: 123)
จากที่ยกมาแล้วข้างต้นชี้ให้เห็นว่าคนอีสานถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
จากตอนนี้เป็นตอนที่พ่อของคูนจะเปลี่ยนหลังคาบ้าน
พอคนในหมู่บ้านรู้ข่าวก็มาช่วยกัน พ่อคูนกับทิดจุ่นขึ้นไปรื้อตับหลังคา
แม่คูนกับเอื้อยคำกองก็ช่วยกันตำข้าวสารทำขนมเลี้ยงชาวบ้านที่มาช่วยงาน
และมีทิดฮาดลุงเข้มและลุงเมฆตามมาสมทบอีก
ซึ่งการช่วยเหลือและมีน้ำใจต่อกันของคนอีสานถือว่าเป็นอัตลักษณ์ถิ่นชี้ให้เห็นความเป็นอีสานขนานแท้
สังคมอีสานเป็นสังคมที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
ดังตอนที่มียายคนหนึ่งเอายอดผักมาแลกกับปลาส้มกับแม่คูนแม่รับมัด ยอดผักจากยายส่งให้คูนถือแล้วล้วงปลาส้มขาวขึ้นมาห่อให้แกถึงสี่ตัว ยายก็พึมพำว่าขอให้เจ้ากับลูกๆอยู่เย็นเป็นสุขเถอะ
แม่คูนก็พูดว่า “เอ้อ ขอให้สมปากเว้าเถอะแม่ใหญ่เอ๊ย” (คำพูน
บุญทวี, 2556: 286)
จากที่ยกมาข้างต้นเป็นตอนที่ขบวนเกวียนของคูนกับพรรคพวกกำลังเดินทางกลับหลังจากไปหาปลาที่แม่น้ำชี
เมื่อเดินทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็ป่าวประกาศให้ชาวบ้านเอาของต่างๆมาแลกปลา
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสิ่งของบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้ “เงิน”
ซื้อขายเท่านั้น
ชี้ให้เห็นความมีน้ำใจแบ่งปันแลกเปลี่ยนสิ่งของกันของชาวบ้าน
คนนี้มีข้าวก็เอามาแลกปลา ดังเช่นยายคนนั้นมียอดตำนินหรือผักตำลึงก็เอามาแลกปลาส้ม
และคนอีสานมักจะให้พรแก่กันดังที่ยายคนนั้นให้พรแก่แม่คูนให้อยู่เย็นเป็นสุข
เอกวิทย์ ณ ถลาง (2544: 67-71) กล่าวว่า เดือนห้า (เมษายน) พิธีสงกรานต์ชาวบ้านจะสรงน้ำพระพระพุทธรูปและไปกราบไหว้ระลึกคุณพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ยังมีชีวิตอยู่
โดยทำพิธีบายศรีผู้ใหญ่และอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ
จากมาแล้วว่าวัฒนธรรมประเพณีของคนอีสานนั้นมีความสำคัญ
เป็นที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ช่วยจรรโลงและหล่อหลอมให้คนเป็นคนดี
ดังที่ในลูกอีสานมีตอนบุญสงกรานต์ที่ว่า
ที่ลานวัดตอนเย็นเด็กๆกำลังวิ่งเล่นอยู่หลายคน
ที่ร้านพระพุทธรูปใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใบโกร๋น
มีหญิงสาวและไม่สาวรดน้ำพระพุทธรูปอยู่ เด็กหลายคนพากันลอดเข้าไปอาบน้ำที่ไหลลงข้างล่าง คูนไม่ได้อาบน้ำมาทั้งวัน
จึงคลานเข้าไปอาบน้ำกับเพื่อนๆ
จนเสื้อผ้าเปียกหมด น้ำที่ไหลตามใบหน้ามีกลิ่นขมิ้นหอมอ่อนๆ เมื่อน้ำไหลเข้าปากคูนก็กลืนอึกลงไปหลายที
เมื่อแม่บอกว่าเอื้อยคำกองกำลังมาคูนจึงลอดออกไป
วันนี้เอื้อยคำกองสวยกว่าทุกวัน ผ้าขาวม้าที่คาดรอบหน้าอกก็เป็นผืนใหม่
บนต้นคอและเหนือราวนมก็มีสีขมิ้น เหลืองๆทาอยู่ทั่ว
(คำพูน บุญทวี,
2556: 61)
จากที่ยกมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าชาวอีสานจะออกมาทำบุญสรงน้ำพระกันที่วัด
และผู้คนมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆ เพื่อเปิดรับสิ่งดีๆในวันสงกรานต์
ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนอีสานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้
ความเชื่อที่ฝังลึกในจิตวิญญาณ
ธวัช ปุณโณฑก (2534: 95) อธิบายเกี่ยวกับความเชื่อว่า
ความเชื่อคือการยอมรับอันเกิดในจิตสำนึกของมนุษย์ต่อพลังอำนาจเหนือธรรมชาติที่เป็นผลดีหรือผลร้ายต่อมนุษย์
หรือสังคมนั้นๆ
แม้ว่าพลังอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงแต่มนุษย์ในสังคมหนึ่งยอมรับและให้ความเคารพเกรงกลัว
จากการให้ความหมายของความเชื่อจึงจับประเด็นหลักได้ว่า
ความเชื่อนั้นแม้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่มนุษย์เราก็ยอมรับและเคาระเกรงกลัว
เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคนเรานั้นกลัวสิ่งเร้นลับ โดยเฉพาะเรื่อง “ผี” แม้ว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผีมีจริง
แต่คนไทยโดยเฉพาะคนอีสานส่วนมากจะเชื่อเรื่องผี ดังตอนหนึ่งในลูกอีสานที่ว่า
วันหนึ่งผีปอบเข้ากินตับปู่บนเรือนในบ้านคุ้มบ้านใต้
คูนขึ้นไปแอบดูใกล้ๆ อยากดูก็อยากดูกลัวก็กลัว
มีคนหนึ่งถือแส้ตีปู่ที่นอนร้องอยู่ขวับๆ แล้วเอาน้ำลงรดตามตัวปู่เสียงซู่ มีเสียงคนถือแส้ตีปู่ว่า
มึงบ่กินน้ำมนต์ก็อาบเสียมึงเป็นผีปอบตัวไหนชื่ออะไรบอกมาไวๆ คูนเห็นปู่ลุกพรวดขึ้นนั่ง
แล้วคูนวิ่งลงไปยืนฟังอยู่ใต้ถุน มีเสียงปู่พูดขึ้นดังๆว่า
บ่แม่นผีปอบมากินตับกู กูเป็นไข้ป่าเพราะกูเดินไปโคราชพอแล้วอย่าอาบน้ำให้กูไม่นานนักคูนก็ร้องไห้ขึ้นโห่งๆ
เพราะคูนได้ยินเสียงคนข้างบนร้องไห้
(คำพูน บุญทวี,
2556: 14)
จากตอนหนึ่งในลูกอีสานแสดงให้เห็นว่าคนอีสานมีความเชื่อเรื่องผีเป็นอย่างมาก
โดยที่ไม่รู้ว่าผีมีจริงหรือไม่ แต่ก็เชื่อและเกรงกลัวไว้ก่อน
เมื่อมีความเชื่อก็มีการแสวงหาหนทางป้องกันหรือขับไล่ผีนั่นก็คือหมอธรรม
ซึ่งเป็นคนที่มีหน้าที่ทำพิธีการขับไล่ปอบตามความเชื่อเดิมของคนอีสาน โดยหมอธรรมจะท่องคาถาและใช้แส้ตี
ตลอดจนให้คนที่โดนปอบเข้าสิงดื่มและอาบน้ำมนต์
แสดงให้เห็นว่าคนอีสานในสมัยก่อนยังขาดความรู้ด้านการรักษาอาการป่วยไข้
เมื่อเห็นคนป่วยไข้หนาวสั่นก็เหมารวมคิดว่าปอบเข้า จึงเทน้ำมนอาบผู้ป่วย
ซึ่งในเรื่องนี้ปู่ของคูนบอกว่าเป็นไข้ป่าจึงหนาวสั่น
เมื่อเจอน้ำมนต์จึงทำให้อาการกำเริบและเสียชีวิตลง
การสักลายก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อของคนอีสานในสมัยก่อน
ซึ่งคนอีสานสมัยก่อนมักจะสักลายตามตัวเพื่อป้องกันอันตรายจากศาสตราวุธตลอดจนเป็นการดึงดูดความสนใจจากสาวๆ
ซึ่งในสมัยก่อนผู้ที่นำความเชื่อเรื่องสักลายเข้ามามักจะเป็นชาวกุลา
หลวงพ่อเคนอธิบายต่ออีกว่าการสักลายมีมาแต่แกยังไม่เกิดผู้เฒ่าผู้แก่และสาวๆก็นิยมผู้ชายที่สักลายตลอดมา
จนมีคำพูดของผู้สาวมาจนทุกวันนี้บทหนึ่ง เมื่ออ้ายขุนถามว่าเขาว่าอย่างไรหลวงพ่อจึงพูดขึ้นช้าๆว่า
“ขาลายก้อมมอมตัวเดียวสิเตะส่ง
ขาลายแล้วแอ่วบ่ลายกะบ่ค่อง
คนบ่สักนกน้อยงอยแก้มกะบ่คืออ้ายเอย”
หลวงพ่ออธิบายคำพูดนั้นว่าสักขาลายแต่ละข้างต้องมีรูปตัวมอมอยู่หนึ่งตัว
ตัวมอมมีรูปคล้ายหัวคนถือว่าเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันมาก และจะต้องสักสองขาให้มีมอมสองตัว ถ้าสักขาเดียวมีมอมตัวเดียวผู้สาวไม่ชอบไม่รัก
และจะเตะส่ง เมื่อขาลายทั้งสองข้างแล้ว
ถ้าเอวหรือบนเอวไม่ลายมันก็ไม่สมกันกับที่ขา และเมื่อเอวลายแล้ว
ก็ต้องสักรูปนกน้อยลงที่แก้มตัวหนึ่งจึงจะโก้มากขึ้น (คำพูน บุญทวี, 2556: 137-138)
จากตอนข้างต้นแสดงให้เห็นว่าความเชื่อเรื่องการสักลายตามตัวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
โดยมีความเชื่อว่ายิ่งสักลายมากเท่าไหร่ผู้หญิงก็จะชอบมากเท่านั้น
และเชื่อว่าผู้มีลายสักจะอยู่ยงคงกระพันธ์
ถ้าสังเกตดูคนแก่ที่เป็นผู้ชายในภาคอีสานก็จะพบว่าบางคนมีลายสักตามตัวอยู่มาก
ผญาอีสานสานรักหนุ่มสาว
สวิง บุญเจิม (2544:18) ให้ความหมายของผญาว่า ผญา คือ
คำคล้องจองที่มีความไพเราะชวนพูดเพราะสั้นกะทัดรัดสัมผัสดี ชวนฟัง
เพราะในผญาแต่ละบทมีความสมบูรณ์ครบถ้วน
จากคำกล่าวของสวิง บุญเจิม แสดงให้เห็นว่า ผญาเป็นคำคล้องจองและมีความไพเราะสัมผัสดี
เราจะเห็นว่าการพูดผญานั้นถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาวอีสานมากที่สุด
โดยเฉพาะการพูดผญาเกี้ยวสาว
คำกองเอ๋ย
ความมักความฮักมากลุ้มคือสุ่มงุมกะทอ ความฮักมาพอคือกะทองุมไว้ คันอ้ายได้น้องสิพาล่องโขงไปเวียงจันทน์
เอาผ้าแพรไหมสีมันๆแลกงัวมาแก่ข้าว (คำพูน บุญทวี, 2556: 45)
จากคำผญาข้างต้นนั้นเป็นตอนที่ทิดจุ่นเกี้ยวเอื้อยคำกองซึ่งคำผญานั้นมีความหมายว่า
ความรักมาสุมอกก็เปรียบเหมือนสุ่มครอบเข่งใส่เส้นยาสูบ
ยิ่งรักมากๆขึ้นก็เหมือนเข่งยาสูบครอบหัวไว้จนมืดมนไปหมด ถ้าพี่ได้น้องเป็นเมียจะพาข้ามแม่น้ำโขงไปเวียงจันทน์
เพื่อเอาผ้าไหมไปแลกวัวมาเทียมเกวียนบรรทุกข้าว
การพูดผญามักจะมีการพูดโต้ตอบกันสองฝ่าย
ซึ่งคนสมัยก่อนนั้นจะสันทัดเรื่องการคิดคำมาพูดผญาได้เก่ง
แต่ในปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีคนรุ่นใหม่สืบสานผญาไว้ คำผญามีเสนห์และเป็นอัตลักษณ์ถิ่นของอีสานอย่างแท้จริงควรค่าแก่การคงอยู่เพื่อลูกหลานสืบไป
อาหารการกินถิ่นอีสานบ้านเฮา
อาหารเป็นปัจจัยหลักของคนทุกคน
แต่สำหรับชาวอีสานแล้วอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด
เพราะในสมัยก่อนนั้นการกินอยู่ของคนอีสานค่อนข้างจะลำบากเพราะประสบปัญหาภัยแล้ง
อาหารอีสานที่ถือได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ถิ่นอีสานขนานแท้นั่นก็คือข้าวเหนียว
คูนควักข้าวเหนียวในกระติบที่สานด้วยไม้ไผ่ขึ้นมาและปั้นเป็นก้อนจิ้มลาบปลาร้า ด้วยความอร่อยอีกครั้ง
(คำพูน บุญทวี,
2556: 28)
บทตอนข้างต้นเป็นตอนที่เด็กน้อยคูนควักข้าวเหนียวขึ้นมาปั้นจิ้มลาบปลาร้ากิน
ถ้าสังเกตให้ดีวัฒนธรรมการกินของคนไทยทั้งสี่ภาค
มีภาคอีสานภาคเดียวที่กินข้าวเหนียวเป็นอาการหลักและใช้มือจกกินแบบบ้านๆ
ซึ่งถือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่ยากจะมีใครเหมือน
นอกจากข้าวเหนียวแล้ว
อาหารอีสานที่นับว่าเป็นอัตลักษณ์ถิ่นที่โดดเด่นมากที่สุดนั่นก็คือ “ปลาร้า” ในสมัยก่อนมักจะทำลาบปลาร้า
ซึ่งในลูกอีสานได้อธิบายขั้นตอนการทำลาบปลาร้าไว้สำหรับผู้ที่สนใจก็ทำตามได้
คูนสับปลาร้าในเขียงเบาๆตามแม่บอก
พอปลาร้าละเอียดแม่จึงหยิบตะไคร้กับหัวข่าอ่อนที่ฝานไว้โรยลงไปให้คูนสับต่อ
สักครู่แม่ก็หยิบหัวหอมแห้งกับพริกสดโรยลงไป
พอคูนสับได้สิบนาทีแม่ก็บอกหยุด แล้วตักข้าวคั่วโรยลงไปอีก (คำพูน บุญทวี, 2556: 27)
วิธีการทำลาบปลาร้านั้นเป็นเมนูอาหารที่คนอีสานในสมัยโบราณมักทำกินกัน
เพราะขั้นตอนการทำนั้นไม่ยุ่งยาก เพียงแค่สับปลาร้าและใส่เครื่องปรุงเหมือนกับทำลาบปกติ
ซึ่งการทำปลาร้านั้นนับว่าเป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารของชาวอีสานโดยแท้และเป็นอัตลักษณ์ถิ่นเฉพาะอีสาน
ก็เหมือนกับการทำน้ำบูดูของภาคใต้ และการทำถั่วเน่าของภาคเหนือ
ซึ่งในแต่ละถิ่นก็มีอัตลักษณ์แตกต่างกันออกไป
หม่ำไข่ปลาก็เป็นอาหารอีสานอีกหนึ่งอย่างนับว่าเป็นการถนอมอาหารไว้กินเอง
แม่ทำหม่ำไข่ปลา
แม่ทำไม่ยากเลย และทำเหมือนกันกับส้มปลาน้อยที่แม่ทำมาแล้ว
แม่เทไข่ปลาในใบตองใส่ถ้วยฝาละมี ซึ่งทำด้วยหินขนาดใหญ่เท่ากับจานใส่ข้าวแต่ก้นลึก
ขยำไข่ปลาให้แตกจนทั่วถึงโรยข้าวคั่วและเกลือถึงสามช้อนลงไปแล้วขยำ อีกสักครู่แม่ก็ตำหัวหอมและกระเทียมแห้งลงในครกจน แหลก
แล้วเทลงไปจึงขยำไข่ปลาอีกเสียงพลวกพราก
สักครู่แม่ก็บิข้าวเหนียวนึ่งลงไปอีกสักครึ่งกล่องไม้ขีดไฟจึงขยำๆและซาวไปมา (คำพูน บุญทวี,
2556: 198)
การทำหม่ำไข่ปลาเป็นการถนอมอาหารไว้กินเองของชาวอีสาน
จากเหตุการณ์ที่ครอบครัวของคูนและชาวบ้านส่วนหนึ่งออกเดินทางไปหาปลาที่แม่น้ำชี
พอได้ปลามาก็นำไข่ปลามาทำหม่ำ ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้วทิ้งไว้ 7 วันก็สามารถรับประทานได้ รสเปรี้ยวของหม่ำนั้นมาจากข้าวเหนียวนึ่งที่แม่ของคูนใส่ลงไปด้วย
เครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมพื้นบ้านถิ่นอีสาน
เครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมพื้นบ้านถิ่นอีสานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่คนอีสานใช้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีพ
ซึ่งสิ่งชาวบ้านจะผลิตเครื่องมือเครื่องใช้เหล่านี้ได้เอง
เอกวิทย์ ณ ถลาง (2544: 39-40) กล่าวว่า
เครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมพื้นบ้านนานาชนิดไม่ว่าจะเพื่อทำไร่นา
ล่าสัตว์ ปรุงอาหาร
หรือใช้สอยในชีวิตประจำวันชาวบ้านจะผลิตเองเกือบทั้งสิ้นดังที่เคยเป็นมาแล้วแต่ครั้งโบราณ
มีเพียงไม่กี่สิ่งกี่อย่างที่ต้องซื้อหา ชาวบ้านมีความรู้ ความสันทัดในการนำเอาสิ่งที่หาได้ใกล้ตัวจากธรรมชาติมาประดิษฐ์ตกแต่งดัดแปลงเป็นของใช้
เช่น เอากก ผือ ไผ่ มาทอสานเป็นเสื่อสาด กระบุง กระติบ กระด้ง ข้องปลา ตะกร้า
ตะแกรง ลอบ ไซ แคร่
จากบทความข้างต้นแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวอีสาน
ชี้ให้เห็นว่าชาวอีสานมีความเป็นเลิศในการนำวัสดุธรรมชาติมารังสรรค์ให้เกิดสิ่งที่อำนวยประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
ตาข่ายดักนกขุ้มคูนเคยเห็นแม่สานจนเสร็จหลายอัน
คือแม่จะดึงเส้นป่านแห้งเส้นเล็กๆออกทีละเส้น แล้วดึงดูจนแน่ใจว่าเหนียวดี จึงฟั่นให้เข้ากันถึงสองเส้นเป็นเส้นยาวๆ
เมื่อได้สายป่านขดใหญ่อยู่ในกร้อไม้ แม่ก็จะสอยปลายเชือกป่านใส่ในปลายปฏักแล้วสานต่อเหมือนสานแห
พอสานได้กว้างสักสองคืบ แม่ก็จะเอาให้พ่อสอดสายป่านไว้รอบๆตาข่ายอีกทีหนึ่ง
แล้วผูกตาข่ายไว้กับคันคาข่ายที่ทำด้วยไม้ ไผ่เล็กๆเท่าดินสอดำ
เสาตาข่ายนี้เมื่อปักลงดินมันจะเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวและทำให้ตาข่ายตึงพอดี
ความกว้างของตาข่ายก็สักคืบกว่า (คำพูน บุญทวี, 2556: 100)
จากขั้นตอนการผลิตเครื่องมือสำหรับใช้จับนกขุ้ม
ในคราวที่คูนกับพ่อจะออกไปจับนกขุ้มมาให้เฒ่าหมอยาใช้ต้มยานกขุ้มให้ย่าของคูนซึ่งป่วยอยู่ได้กิน
แม่ของคูนจึงเป็นผู้ที่ทำเครื่องมือดักนกขุ้ม
จะเห็นว่าอุปกรณ์การทำนั้นล้วนแล้วได้มาจากธรรมชาติ ไม่ต้องไปซื้อหา
และขั้นตอนการทำก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวอีสานได้เป็นอย่างดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นอีสาน
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถสร้างเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อดักจับสัตว์นำมาเป็นอาหารเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้
เครื่องมือใช้จับสัตว์อีกอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ
“หน้าไม้” ดังตอนหนึ่งที่กล่าวว่า หน้าไม้ที่พ่อมีอยู่แล้วก็ทำด้วยไม้ประดู่
ส่วนสายของมันทำด้วยเชือกปอป่านคือ พ่อเอาใยป่านมาฟั่นกันเข้าใหญ่เกือบเท่านิ้วก้อยของคูน
ยามพ่อจะขึ้นสายหน้าไม้ พ่อเอาปลายขาหน้าไม้ข้างหนึ่งปักลงดิน
เอาตีนซ้ายยันขาอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับดึงโน้มเข้าหาตัวพ่อให้ขามันโก่งเหมือนโครงว่าว
(คำพูน บุญทวี, 2556: 142)
จากตอนหนึ่งในลูกอีสานเป็นตอนที่ครอบครัวของคูนกำลังเตรียมข้าวของอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อที่จะออกไปหาปลาที่แม่น้ำชี
หน้าไม้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เพราะนอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือในการยิงนกและสัตว์ต่างๆแล้ว
ยังเป็นอาวุธป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางได้อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์การทำหน้าไม้ของพ่อคูนนั้นล้วนล้วนได้มาจากธรรมชาติทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นไม้ประดู่ หรือปอป่าน
ชี้ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของการทำเครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมอีสานที่ไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์
เพราะว่าสามารถใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้
เครื่องมือในการขุดปู
ขุดหาสัตว์นั้นก็ถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของอีสานนั่นก็คือ “เสียม” ซึ่งการทำเสียมนั้นต้องมีการตีเหล็กโดยผ่านกระบวนการต่างๆ
พ่อใหญ่ลุยตีเสียมได้ว่องไวมาก
ครู่ใหญ่ๆก็เป็นรูปเสียมขึ้นมาพอดีปลายเสียมแล้วให้เอาวางลงทางปลายทั้งที่มีรูปเหมือนหัวเต่า
พอเสียมถูกวางลงแกก็ตีลงเป้งๆ เมื่อแกบอกพอ
หลานชายแกก็ยกขึ้นมาดู ทำให้เห็นด้านนี้ของเสียมเป็นกระบอกกลมๆ “ทางนี้สำหรับใส่ด้ามเสียมมึงจำไว้” พ่อใหญ่ลุยบอกคูนเมื่อคูนเห็นแกซุกเสียมเข้าไปในกองไฟอีก
จึงถามว่าจะเผาอีกนานไหม แกก็บอกว่าพอมันแดงๆก็จะเอาออกมาจุ่มน้ำ
แล้วจะเอาตะไบเข่นที่ปลายเสียมให้มันคมๆเท่านั้นก็ใช้ได้
(คำพูน บุญทวี, 2556: 147)
การตีเหล็กทำเสียมมีมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งทางอีสานแต่เก่าก่อนก็จะมีช่างตีเหล็กประจำหมู่บ้าน
ถ้าใครเอามาให้ช่างตีให้ส่วนมากก็จะไม่คิดเงิน
อย่างเช่นตอนที่ยกมาข้างต้นนี้เป็นตอนที่คูนและพ่อเอาเสียมมาตีกับพ่อใหญ่ลุย
เพื่อจะเดินทางไปหาปลาที่แม่น้ำชี แกก็ไม่เอาเงินค่าตีเสียมด้วย
แกบอกว่ากลับมาเอาส้มปลาขาวใหญ่ๆมาฝากแกก็แล้วกัน
นั่นแสดงว่านอกจากแกไม่หวงวิธีการตีมีดตีเสียมให้พ่อกับคูนมาดูแกทำ
แกก็ไม่รับเงินค่าจ้างแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใสใจจริงของคนอีสาน
และคนอีสานก็มักจะถ่ายทอดวิธีผลิตเครื่องมือเครื่องใช้หรือประดิษฐกรรมต่างๆให้ลูกหลานถือว่าเป็นอัตลักษณ์ที่ดีงาม
นอกจากนี้ยังมีการตีเหล็กไฟ
วิธีตีหินเหล็กไฟคูนเคยเอาของพ่อมาทำแล้ว
คือเอามื้อซ้ายกุมก้อนหินติดปากกระบอกไม้ไผ่สั้นๆ
ซึ่งมีนุ่นอัดอยู่ แล้วหยิบแท่งเหล็กยาวหนึ่งนิ้วชี้ต่อยหินก้อนนั้นสองสามที
มันจะมีไฟกระเด็นออกมาไปติดนุ่นในกระบอก ถ้าจะให้ไฟดับก็เอาฝาปิดครอบลงไป
หินเหล็กไฟหรือชุดไฟนี้เรียกชื่อว่า “เหล็กไฟป๊ก”
เพราะเวลาเอาเหล็กต่อยหินมันจะดังเสียงป๊กๆ
เหล็กที่ใช้ตีหินจะทำจากอะไรก็ได้ แต่ ของพ่อคูนทำจากเหล็กตะไบที่ไม่ใช้แล้ว
แต่ต้องเอาไปให้ช่างตีเหล็กเป็นแผ่นให้พ่อบอกว่าเหล็กนี้ตีหินมันจะเกิดประกายไฟดีกว่าอื่นๆ(คำพูน บุญทวี, 2556: 130)
การทำหินเหล็กไฟในสมัยก่อนนั้นก็จะหาวัสดุที่ได้จากธรรมชาติทั้งหิน
นุ่น กระบอกไม้ไผ่ ซึ่งคนอีสานจะทำกันเอง โดยไม่ต้องซื้อหาซึ่งต่อมาในปัจจุบันก็ไม่มีให้เห็นแล้ว
ในยามจะจุดไฟหุงหาอาหารก็ใช้เหล็กป๊กทำให้เกิดประกายไฟ จึงก่อไฟขึ้นได้
คนอีสานอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
“กินเพื่ออยู่” คนอีสานในสมัยก่อนจะเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดีมากกว่าคำว่า
“อยู่เพื่อกิน” ซึ่งคนยุคปัจจุบันจะเข้าใจคำหลังได้มากกว่า
การกินเป็นอัตลักษณ์ถิ่นหนึ่งของคนอีสาน
ขอกล่าวในที่นี้เลยว่า ในอดีตนั้นเรื่องการกินอยู่ของอีสานเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบันนี้ เพราะในสมัยก่อนอีสานต้องประสบปัญหาภัยแล้ง
แผ่นดินแตกระแหง ต้นไม้ใบโกร๋น
แต่คนเหล่านี้พวกเขาสามารถอยู่ได้เพราะรู้จักวิธีการเอาตัวรอด
พึ่งพาอาศัยธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด
พ่อก่อไฟ
แล้วเอาเถาวัลย์ผูกคองูแขวนไว้บนกิ่งไม้ พ่อล้วงมีดออกมากรีดรอบๆคองูแล้วกรีดลงไปตาม ท้องของงูจนถึงโคนหาง
พ่อดึงหนังงูเดี๋ยวเดียวก็หลุดออกมาเห็นตัวงูเป็นสีขาว
พ่อสับงูออกเป็นท่อนๆ ใส่ในไม้ตับได้ถึงสามไม้ พ่อบอกว่าย่างไฟให้เกรียมๆจึงห่อไปบ้าน
เพราะเลือดของมันจะไม่ เปรอะผ้าขาวม้า (คำพูน บุญทวี, 2556: 21)
จากตอนที่พ่อของคูนฆ่าหนังและปิ้งนี้
แสดงให้เห็นว่าคนอีสานไม่รังเกียจที่จะกินงู
สัตว์อะไรที่สามารถกินประทังชีวิตได้พวกเขาก็จะกินเพราะยังดีกว่าจะอดตาย
ในอดีตคนอีสานก็ชอบกินงูโดยเฉพาะงูสิง มักจะทำเมนู ต้ม ปิ้ง หรือผัดเผ็ดก็ได้
ในปัจจุบันนี้คนก็ไม่นิยมกินงูกันแล้ว แต่ในอีสานยังมีคนที่กินงูอยู่จนถึงปัจจุบัน
นอกจากงูแล้วยังมีอาหารอื่นๆอีกที่คนอีสานกินได้ดังตอนที่ว่า
“เฮ้ย บักเสี่ยวทิดจุ่น กูได้ของกินแล้ว” ทิดฮาดตะโกนลงมาสุดเสียง “กูได้กับแก้สองโต
ระวังบักคูนอย่าให้หมามึงคาบไปเน้อ” สิ้นเสียงทิดฮาดกับแก้สองตัวมีจุดสีขาวสลับแดงตามตัวก็หล่นตุ๊บลง
คูนวิ่งไปถึงก่อนไอ้มอมกับไอ้แดง แล้วนั่งดูอยู่ใกล้
(คำพูน บุญทวี,
2556: 124)
จากที่กล่าวมาเป็นตอนที่ทิดจุ่นขึ้นไปเก็บมะพร้าวมาให้แม่คูนทำขนมเลี้ยงคนที่มาช่วยเปลี่ยนหลังคาบ้านที่บ้านของคูน
ทิดฮาดก็ได้กับแก้หรือที่ภาษาไทยกลางเรียกว่าตุ๊กแก เอามาปรุงกิน
ถือได้ว่าคนอีสานกินทุกอย่างที่หากินได้ นอกจากนี้ยังมีตัวบึ้ง ที่คนอีสานกิน
ซึ่งในสมัยนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จักเลยก็ว่าได้
“นี่แหละมีบึ้งอยู่
ใยนี่ตัวบึ้งมันทำกันไม่ให้ตัวแมลงลงไปรบกวนมัน” พ่อว่าเท่านั้นก็ขุดลงไปที่รูอย่างว่องไวพ่อขุดลงไปลึกสักศอกกว่าๆ
ก็หยิบตัวบึ้งเท่ากล่องไม้ขีดไฟขึ้นมา
“โอ้โฮ แมลงมุมตัวใหญ่ๆ” จันดีร้องขึ้น
คูนก็นึกว่าเป็นแมลงมุมตัวใหญ่ๆเหมือนกัน
เพราะลักษณะของมันเหมือนแมลงมุมแต่มีสีดำมืดตลอดทั้งตัว (คำพูน บุญทวี, 2556: 158)
หลายคนแทบไม่คิดว่าตัวบึ้ง
ซึ่งดูเหมือนแมงมุมยักษ์จะสามารถนำมาปรุงอาหารกินได้
แต่คนอีสานก็สร้างอัตลักษณ์ถิ่นขึ้นมา ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมอนใคร
คือการกินสัตว์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะกินได้ โดยการนำมาประกอบอาหาร
เมื่อเอื้อยคำกองเอาครกกับสากมาวางลง
ทิดจุ่นก็หยิบบึ้งสองตัวที่ดิ้นกระดุกกระดิกอยู่ใส่ลงไปในครกจับสากตำลงไปเสียงบึกๆ สักครู่ก้นครกมีน้ำใสๆออกมาทำให้มีเสียงตำเสียงฉัวะๆ“น้ำที่ก้นบึ้งนี่แหละมันแซบแท้ๆ” ทิดจุ่นว่าพลางตำลงไปจนแหลกละเอียดแล้วใส่เครื่องลาบเหมือนเครื่องลาบเนื้อ
โรยลงไปแล้วเหยาะน้ำปลาร้าในกระปุกน้อยๆราดลงไปอีก
แล้วแกก็ตำอีกเสียงฉัวะๆ กลิ่นหอมของข้าวคั่วโชย ขึ้นมาทำให้คูนกลืนน้ำลาย “นี่แหละลาบบึ้งมึงจำไว้” ทิดจุ่นบอกคูนและจันดี
การทำลาบบึ้งก็ปรุงเหมือนลาบเนื้อปกติธรรมดาทั่วๆไป อาหารการกินที่กินได้คนอีสานไม่มีรังเกียจจึงทำให้คนอีสานจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย
เพราะพวกเขามีอัตลักษณ์ถิ่นนั่นก็คือหาอยู่หากินตามธรรมชาติอะไรที่กินได้ก็กินไป
และเมนูแปลกๆแต่กินได้เหล่านี้ก็เป็นอาหารที่มีเฉพาะในอีสานเท่านั้น
ในสังคมปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าไปทุกๆวัน
อัตลักษณ์เก่าๆก็มีแต่จะเลือนหายไป
บางสิ่งบางอย่างที่มีในอดีตก็ถูกกลืนจากกระวัตถุนิยม
แต่ถึงกระนั้นอัตลักษณ์ถิ่นของอีสานบางอย่างก็ยังมีมาถึงปัจจุบัน
เพราะว่าคนอีสานมีความรักและหวงแหนสิ่งที่เป็นรากเหง้าของตน
ตราบใดที่เสียงพิณเสียงแคนยังคงบรรเลงท่ามกลางกระแสดนตรีสากล
อัตลักษณ์ของคนอีสานก็ยังคงอยู่ได้ในสังคมปัจจุบันเช่นเดียวกัน
แต่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอัตลักษณ์เหล่านี้จะอยู่ได้นานเท่าใด
แต่ก็เชื่อว่าจะอยู่ได้ตราบชั่วดินฟ้า “ถ้าคนอีสานร่วมใจสืบสานอัตลักษณ์ถิ่นตน
ให้อยู่คู่สังคม ดุจไม้เท้ายอดทอง คู่กระบองยอดเพชร”
บรรณานุกรม
คำพูน บุญทวี. (2556). ลูกอีสาน. กรุงเทพฯ: โป๊ยเซียน.
ธวัช
ปุณโณฑก. (2534). “ความเชื่อพื้นบ้านอันสัมพันธ์กับวิถีชีวิตในสังคมอีสาน” ในการสัมมนาทาง วิชาการ
เรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุสภา.
สวิง
บุญเจิม (2544). ปรัชญาเมธีอีสาน.
อุบลราชธานี: มรดกอีสาน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2543). เบิ่งสังคมและวัฒนธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน.
เอกวิทย์ ณ ถลาง. (2544). ภูมิปัญญาอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นท์ติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.